วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ตัวตายแต่จิตไม่ตาย

ตัวตายแต่จิตไม่ตาย
ผู้ถาม             ดูหนังที.วี. เรื่องหนึ่ง เขาตายแล้วจิตยังไม่ถึงคราวตาย ก็วนเวียนและไปเข้าร่างหนึ่งที่ตายใหม่ ๆ ไปอยู่แทน จะเป็นไปได้ไหมคะ ?
หลวงพ่อ         ก็ต้องไปถามที.วี.ดู
ผู้ถาม             ถามหลวงพ่อดีกว่าเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ         หลวงพ่อไม่รู้จะตอบยังไงนะซิ เรื่องจริงก็มีอยู่รายเดียว เจ้าคุณราชสุทธาจารย์ ท่านตายแล้ววิญญาณของท่านมาช่วยงานเผาศพตัวท่านเอง เวลาเขาเผาเสร็จ เขาก็เดินทางกลับบ้าน ท่านก็เดินกลับด้วยก็นึกถึงน้องสาว ว่าเมื่อเราป่วยใหม่ ๆ น้องสาวกำลังคลอดบุตร กำลังอยู่ไฟ ก็แวะเข้าไปเยี่ยมน้องสาว น้องสาวเห็นหน้าเข้า ก็บอก “ พี่เล็งตายแล้วไปสู่ที่ชอบ ๆ เถิด อย่าได้มากวนเลย ”
                   ท่านก็เลยบอกว่าเวลานั้นรู้สึกอายน้องสาวเราไปเยี่ยม แต่เขากลับเห็นว่าเราเป็นศัตรู ก็ถอยหลังออกมา พอถอยหลังออกมาประตู ก็หมุนติ้วทรงตัวไม่อยู่ล้มลง ล้มลงก็ไปเข้าร่างกายของเด็กซึ่งเป็นลูกของน้องสาว ทีนี้ก็มีปัญหาถามท่านว่า ไอ้คนเราเกิดมาก่อน จิตวิญญาณดวงนี้มันมีอยู่แล้วใช่ไหม แล้วจิตวิญญาณดวงนี้มันเข้าไปซ้อนกันได้ยังไง ท่านก็บอกว่ามีบาลีอภิธรรมบอกว่า “ ปุเร ชาโต ปัจฉา ชาโต ” เขาแปลว่าเกิดก่อนหรือเกิดหลัง “ ปุเร ชาโต ” เกิดก่อน “ ปัจฉา ชาโต ” เกิดทีหลัง
                   ท่านก็บอกว่าพอดีไอ้วิญญาณดวงนั้นมันเคลื่อนออกไปพอดี แล้วดวงนี้ก้เข้าซ้อนกัน อย่างนี้เป็นไปได้นะ เป็นมาแล้วนะ แต่ว่าต้องใหม่ ๆ นะ คือว่าประสาทยังไม่หยุดทำงาน คือว่าประสาทไม่เสีย ยังไม่ตาย ทีนี้พอเกิดขึ้นมาพอพูดได้ เขาแนะนำให้เรียกแม่ แกบอก ไม่ใช่แม่ คนนี้น้องสาว ยายมาเขาบอกให้เรียกยาย บอก คนนี้ไม่ใช่ยาย ท่านเรียกแม่ เขาถามท่าน ท่านก็บอก ท่านชื่อ “ เล็ง ” บ้านอยู่ตำบลนั้นมีควายกี่ตัว มีลูกกี่คน มีนากี่ไร่ บอกถูกหมด ตายไปไม่กี่วันก็เหมือนกับนอนหลับแล้วฟื้นขึ้น
                   ต่อมาถึงเวลาบวชพระ ท่านก็บวชพระสายธรรมยุต จบเปรียน ๔ ประโยค ต่อมาท่านก็เป็นเจ้าคณะจังหวัดธรรมยุต พอเป็นเจ้าคณะชั้นราชได้หน่อยหนึ่ง ก็มีความเบื่อในการทรงตัวที่รับฐานะ ก็ลาออกจากเจ้าคณะธรรมยุต อยู่ตามลำพัง
                   ความจิรงเรื่องราวของ ท่านเจ้าคุณราชสุทธาจารย์ เป็นตัวอย่างของคนตายดีที่สุด เป็นตัวอย่างของคนตายและคนเป็น ตัวอย่างของคนเป็น และต่อมาท่านก็ป่วย ป่วยก็ถึงแก่ความตาย ไอ้จิตวิญญาณมันไม่ไปไหน มันก็บนอยู่บ้าน เวลาเขาทำงานศพเขาสวดศพ คนมาช่วยงานหาบข้าวของมาช่วย ท่านก็วิ่งไปรับ ดีใจว่าเขามาช่วย วิ่งแย่งหาบแย่งคอน เขาก็ไม่ให้ เป็นผี เขาไม่ให้ แต่ว่าผลประการสำคัญในเมื่อเขาฟังสวดจบหรือถวายทานเสร็จ เวลาเขาอุทิศส่วนกุศล ท่านบอกว่ามีกำลังมากขึ้น ร่างกายผ่องใสขึ้น มีกำลังมากขึ้น เขาให้อีกก็ดีขึ้นอีก ตามลำดับ แต่ว่ากำลังจิตของท่านไม่ไปไหนวนเวียนอยู่ที่นั้น
                   อันนี้ก็เป็นประโยชน์ใหญ่นะ จะได้รู้ว่าให้ทานมีผลกับคนตายแบบนี้ ไม่ใช่ว่าให้ปลาแห้งไป ให้เนื้อเค็มไป เป็นท่อน เป็นตอนไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นอานิสงส์ มันเป็นผลทำให้ร่างกายมีความสุข มีร่างกายสวยขึ้น มีกำลังมากขึ้น
ผู้ถาม             หลวงพ่อเจ้าคะ เวลาท่านตายแล้วไม่ผ่านสำนัก ลุงพุฒิ หรือคะ
หลวงพ่อ         คือคนตายทุกคน ไม่ใช่ผ่านสำนัก ลุงพุฒิ ( สำนักพยายม ) ทั้งหมด คนที่มีบาปหนัก ตายแล้วพุ่งหลาวลงนรกเลย ตายแล้วไม่ผ่านสำนัก ลุงพุฒิ คนที่มีจิตใจที่นึกถึงบุญกุศลอยู่ ตายแล้วขึ้นสวรรค์เลย ไม่ผ่านสำนัก ลุงพุฒิ และคนที่เป็นสัมภเวสีก็ไม่ผ่านสำนัก ลุงพุฒิ ไม่ใช่ผ่านทุกคนหรอกนะ

อาหารเรปฎิกูลสัญญา
ผู้ถาม             กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกมีความถนัดและพิจารณา “อาหารเรปฎิกูลสัญญา” เป็นประจำ ก่อนทานอาหารทุกครั้งต้องพิจารณาเสียก่อน แล้วจึงค่อยรับประทาน ตอนพิจารณาก็เห็นเป็นซากสกปรก เลอะเทอะสะอิดสะเอียนมาก พาลทำให้กินไม่ได้ผ่ายผอมลงทุกวัน ๆ จึงใคร่ถามหลวงพ่อว่า วิฑีพิจารณาฉบับของหลวงพ่อ บริโภคได้โดยไม่สะอิดสะเอียนนั้น หลวงพ่อพิจารณาแบบไหนเจ้าคะ ?
หลวงพ่อ         พิจารณาเป็น “อาหาเรปฎิกูลสัญญา” แล้วนะ ต่อไปฉันก็ภาวนา “กินหนอ ๆ” มันเลอะเทอะกูกินก็มึง กูจะกินเสียอย่าง คือพิจารณาเป็น “ อาหาเรปฎิกูลสัญญา ” คือของทุกอย่างเกิดจากของสกปรก มีความสกปรก อาหารของสัตว์ก็สกปรก ร่างกายของสัตว์ก็สกปรก แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ร่างกายของเราก็สกปรก เมื่อของสกปรกกับสกปรกอยู่ด้วยกันก็ช่างมันปะไร ถืออุเบกขา กินดะเลย คือ ว่าอย่าเห็นเฉพาะเวลานั้นซิ เวลานั้นเขาพิจารณาให้เห็น ไห้เกิดเป็น “ นิพพิทาญาณ”
                   “นิพพิทาญาณ” หมายถึง ความเบื่อหน่าย เห็นร่างกายสกปรก หลังจากนั้นต้องใช้ พิจารณาแบบนั้นต้องใช้ “ สังขารุเปกขาญาณ ” เข้าควบคุม อารมณ์ใจวางเฉย มันสกปรกแล้วก็ไม่เป็นไร เราเกิดมาแล้วก็ต้องพบกับความสกปรก ต่อไปชาติหน้าความสกปรกจะไม่มีกับเราอีก เราตายเราไปนิพพาน คิดอย่างนั้นนะ
(อีกรายหนึ่งถามว่า)
ผู้ถาม             หลวงพ่อค่ะ พิจารณา “อาหาเรปฎิกูลสัญญา” บ่อย ๆ แล้วมีความคิดไม่อยากทานข้าวค่ะ
หลวงพ่อ         ดีมากไม่เปลืองสตังค์มันแฟบ เมื่อใช้ "อาหารเรปฎิกูลสัญญา" บ่อย ๆ ไม่อยากข้าว ดี! แบงก์มันแฟบกินน้อย ๆ ดี แบงก์มันแฟบ แต่ตัวไม่แฟบซิ แต่เรื่องที่กินได้ไม่ได้ไม่เกี่ยวกันนะ ไม่เกี่ยวกับวิปัสสนาญาณ มันเกี่ยวกับร่างกายเราเอง แต่ว่าถ้าจิตเป็นธรรมปีติมันก็อิ่ม มันอิ่มของมันเอง ไม่ตัวอิ่มมันมีอยู่แล้ว ใช่ไหม ปีตินั้นไปอิ่ม อิ่มดดยธรรมชาตินั้นมันอิ่มจริง ๆ
                   ไอ้อาหารการบริโภคจะน้อย แต่พระนี่ พระธุดงค์เขาฉันเวลาเดียวเขาอยู่ได้ยังไง ฉันเวลาเดียว ก็มีอยู่องค์อยู่พิจิตร ท่านก็ไม่ธุดงค์ ท่านอยู่วัด ฉันเรียนกับท่านก็ไม่ให้เรียน ตอนนั้นฉันยังหนุ่มอยู่ เป็นพระแล้วนะ ไปหาท่านอาหารนี่ท่านไม่ฉันเลย ฉันแต่น้ำ น้ำก็ฉันแบบธรรมดา แต่ทำงานทุกอย่าง เวลานั้นปลูกศาลาขุดหลุมเสา แบกเสา แบกอื่น ๆ ก็ทำเหมือนกับพระทุกองค์ ก็สงสัยบอก “ หลวงพ่อขอเรียนบ้าง” ท่านบอกว่า “อย่าเรียนเลย ชาวบ้านเขาจะเสียกำลังใจ”
                   นิมนต์ไปฉันก็ได้เแต่สวดมนต์ฉันไม่ได้ แต่ความจริงท่านให้เรียนก็ได้ ฉันคิดว่าถ้าวิชานี้เป็นสาธารณะถ้าเรียนกันได้ ฉันแจกทุกคน แล้วรวยบรรลัยเลย ไอ้พวกนี้ถ้าลองไม่กินแล้วรวยบรรลัยเลย ใช่ไหม เรื่องเล็ก ๆ เงินเดือน ๆ ละ ๑๐๐ บาท ยังพอใช้เลย ใช่ไหม ก็ถ้าเรายุ่งอยู่ ยุ่งกินนะ นั้นวิชาความรู้นั้นต้องเฉพาะตัวของท่าน องค์นั้นอ้วนนะไม่ใช่ผอม อ้วน! ผิวพรรณดี
                   ต่อมาฉันต้องเข้าป่า ตอนที่ฉันเข้าป่าจึงเห็นการคล่องตัวก็เลยนึกออก ว่าท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ ต้องเก่งมาก ใช่ไหม เก่ง ! ไม่ใช่เก่งน้อยนะ การอยู่ด้วยธรรมปีติในสถานที่ปกติไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมีการเคลื่อนไหว เพราะมีการทำงานเสมอ ใช่ไหม ไม่ใช่ไปนั่งเฉย ๆ เดินไปเดินมาแบบจงกรมเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก อันนี้เป็นปกติของคนธรรมดา ต้องถือว่าธรรมปีติ ก็เหมือน นิโรธสมบัติ

ดินกินดิน
ผู้ถาม             กระผมพิจารณาดิน น้ำ ลม ไฟ ขณะทานอาหารก็นึกว่าดินกินดิน เพียงไม่กี่คำก็จะอิ่ม และอยู่อย่างสบาย ๆ กราบเรียนถามว่า การที่นึกว่าดินกินดินจะได้ประโยชน์อะไรครับ ?
หลวงพ่อ         ได้ประโยชน์คือดินกินดิน คำว่าได้ประโยชน์หรือไม่นี่ เราต้องพิจารณาเห็นว่าสกปรกหรือเปล่า ถ้านึกเฉย ๆ ก็แค่นั้นล่ะนะ ไม่มีอะไร “ อาหารเรปฎิกูลสัญญา ” ท่านบอกพิจารณาอาหารว่าเป็นของสกปรกต่างหากล่ะ ดินกินดินก็ดินกินดิน
ผู้ถาม             ปลูกต้นไม้ได้ครับ
หลวงพ่อ         ไม่ได้ มันกินดินหมด ต้นไม้ต้องการดิน ดินกินดินต้องนึกให้ตลอดไปซิ ดินก็ดี น้ำก็ดี ลมก็ดี เป็น "อนิจจัง ” ไม่เที่ยง ถ้ายังทรงตัวเป็นร่างกายอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ ในที่สุดมันก็พัง เราไม่ควรยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา ถือว่าเราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราคือ “ อทิสมานกาย ” ถ้าจิตใจของเราดี เราก็ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพานได้ ถ้ามีอารมณ์เศร้าหมองก็ต้องไปอบายภูมิ ถ้าคิดอย่างนี้ไห้มันตรงเผงนะ เราดินกินดิน ตายไปก็เป็นไส้เดือน

นั่งเย็บผ้าเห็นคนตาย
ผู้ถาม             ขณะที่ลูกนั่งเบ็บผ้าอยู่มีเพื่อนมาบอกว่า "แม่ตายไปนานแล้วไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ?" จิตของลูกขณะนั้นเห็นภาพทันที บอกขนาดอายุชัดเจนแจ่มใส ลูกมีความสงสัยว่า ไม่ได้ภาวนา ไม่ได้นั่งสมาธิ ทำไมจึงเห็นภาพได้ชัดเจนแจ่มใสเจ้าคะ ?
หลวงพ่อ         เย็บผ้าไม่มีสมาธิเรอะ ? ถ้าเย็บผ้าไม่มีสมธิก็เอเข็มแทงเนื้อ "สมาธิ" เขาแปลว่า ตั้งใจ นะ ความเป็นทิพย์ของจิตไม่จำเป็นต้องภาวนาเสมอไป ถ้าจิตตั้งไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างเขียนหนังสือก็ดี อ่านหนังสือก็ดี คุยกันอยู่ก็ดี เฉพาะเรื่อง หรือเย็บผ้า ทำครัว เวลานั้นจิตว่างจากกิเลส ไม่นึกถึงเรื่องอื่นเวลานั้นจิตก็เป็นทิพย์ ถ้าเขาถามปั๊บความเป็นทิพย์ก็จับภาพทันที อย่านึกคำว่า “ ทิพพจักขุญาณ ” จะต้องนั่งภาวนาก่อนนะ ไม่ใช่ คนที่เขาได้คล่องจริง ๆ ไม่เคยภาวนาก่อนเลยนะ เขาได้คล่องจริง ๆ จิตมันทรงตัวไม่ต้องภาวนานึกปั๊บก็จับภาพได้ทันที ก็แบบคนที่มีอารมณ์ว่างจากกิเลสในเวลานั้น เย็บผ้าจิตมันก็อยู่ที่ปลายเข็ม ใช่ไหม ถ้าเผลอก็ไม่ได้ นั่นเป็นสมาธิอย่างหนัก แต่ว่าในฐานะที่มีการเคลื่อนไหวก็ทรงในอุปจารสมาธิ อุปจารสมาธิมีอารมณ์เป็นทิพย์พอดี ใช้ได้เลย
ผู้ถาม             อ๋อ... การทำงานทุกอย่างก็เป็นสมาธิหมดหรือครับ ?
หลวงพ่อ         เป็นสมาธิหมด ! แม้กินข้าวหรือเข้าส้วมก็เป็นสมธิ
ผู้ถาม             เข้าส้วมน่ะหรือครับ ?
หลวงพ่อ         เข้าส้วมน่ะเป็นทั้งสมาธิ เป็นทั้งปัญญาด้วยนะ
ผู้ถาม             เอ๊ะ! ไม่เคยได้ยินเลยครับ
หลวงพ่อ         อ้าว! ฉันพูดไม่ได้ยินเหรอ “สมาธิ” แปลว่า ตั้งใจ นะ เราตั้งใจจะไปส้วม ถ้าสมาธิไม่ดี ดีไม่ดีขี้บนที่นอนล่ะ คิดว่าที่นอนเป็นส้วม และก็ต้องประกอบปัญญา นี่ห้องส้วมนะ ไม่ใช่ห้องนอน เวลาถ่ายก็มีสมาธิและปัญญาควบ ถ้าไม่มีปัญญามีแต่สมธิ ถ่ายมามันคล้ายสังขยา คิดว่าสังขยาล่อเข้าไป ใช่ไหมเล่า แม้แต่เข้าส้วมก็ต้องมีสมาธิ มีปัญญาประกอบกันทั้งหมดแหละ คือสมาธิแปลว่าตั้งใจเฉย ๆ ใจตั้งไว้จุดใดจุดหนึ่งนั้นคือ “สมธิ”
ผู้ถาม             ฉะนั้น เวลาเข้าส้วมก็เป็นกรรมฐานด้วย
หลวงพ่อ         เป็นกรรมฐานในตัวเสร็จ เพราะเขาเรียก “ฐาน” อยู่แล้ว ไอ้นั้นได้จริง ๆ นะ เห็นว่าสิ่งที่ออกมาจากร่างกายมันสกปรก ของสมปรกคืออาหารที่เราเลือกกินเข้าไปแล้ว ก่อนจะกินเราก็เลือกแล้วว่าเป็นของดี ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อาหาเรปฎิกูลสัญญา” ก่อนจะกินเห็นว่าอาหารมากจากสิ่งสกปรก สัตว์ทั้งหมดสกปรก พืชทั้งหมดสกปรกแล้วมันก็สกปรกจริง ๆ คือมีความเข้าใจในร่างกายว่ามีแต่ความสกปรกทั้งหมด ใช่ไหม เป็นของไม่สะอาด ตัวนี้เป็นปัจจัยให้เกิดเป็นพระอนาคามี ถ้าบ่อย ๆ อารมณ์นี้มันจะทรงตัว แม้แต่ทำนิด ๆ หน่อย ๆ นะ ใช้เวลาไม่มากสัก ๑๐ วันครั้งก็ยังดี พอจะตายอารมณ์นี้จะรวมตัว มีกำลังสมารถตัดกิเลสได้เลย
ผู้ถาม             ดีเหมือนกันนะ ทำกรรมฐานในส้วม
หลวงพ่อ         ใช่! จิตเป็นสุข อารมณ์เป็นฌาน
ผู้ถาม             แม้แต่กลิ่นก็เป็นกรรมฐาน
หลวงพ่อ         ใช่! “อสุภกรรมฐาน” ยังไงล่ะ คำว่า “อสุภะ” แปลว่า ไม่สวย ไม่งาม ไม่น่ารัก วัตถุที่ออกก็ไม่น่ารัก กลิ่นก้ไม่น่ารัก
ผู้ถาม             ความจริงก็น่าแปลกนะ เวลาอยู่ในชามก็สวยงาม ประดิษฐ์เสียอย่างสวยงาม
หลวงพ่อ         อะไรได้เอาอุตสาห์เสียสตางค์ไปซื่อใช่ไหม ออกมาแล้วเบือนหน้าหนี
ผู้ถาม             ของของเราแท้ ๆ เลย
หลวงพ่อ         ก็นั่นน่ะซิ ไม่น่าจะเสียเงินใหม่ น่าจะกลับเข้าไปใหม่ (หัวเราะ)
ผู้ถาม             เป็นการประหยัดเศรษฐกิจ
หลวงพ่อ         ก็เราเลือกแล้ว ก่อนจะกินมัน เป็นของดีนี่ ไม่น่าจะทิ้งเลย
ผู้ถาม             น่าเสียด๊าย ! เสียดาย!

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

จิตหลุดจากร่าง

จิตหลุดจากร่าง

ผู้ถาม             กราบเท้านมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกนั่งสมาธิพอจิตเคลิ้ม ๆ ปรากฏว่าจิตหลุดลอยออกไปทางศีรษะ นึกจะไปไหนก็เร็วทันใจนึก แต่พอจะเข้าร่างเดิมทีไร อีหลักอีเหลื่อ เบื่อหล่ายทุกที จึงมีความข้องใจว่าถ้าเกิดจิตไม่เข้าร่างอย่างนี้ตายไปจะมีโอกาสไปนิพพานได้หรือเปล่าเจ้าคะ ?
หลวงพ่อ         เอาอย่างนี้ซิ ! ถ้าไม่เข้าล่างคงจะเหม็นขี้มากกว่า มันไม่ตายหรอก ถ้าไปได้อย่างนั้นนะ บังเอิญร่างกายมันจะไปจริง ๆ นะ ก็จะไปได้ตามกำลังบุญอย่าลืมว่าอาหารออกไปนั้นเป็นฌานใช่ไหม กำลังของฌานนั้นถ้าบังเอิญเราพอใจที่พรหมก็อยู่พรหมแน่ แล้วบังเอิญเราพอใจสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งเลือกได้ตามชอบใจ เพราะกำลังเราสูงกว่า
                   แต่ว่าถ้าก่อนที่จะออกจากร่างเราใช้วิปัสสนาญาณหวังนิพพานใช่ไหม ถ้าเวลานั้นกิเลสไม่เกาะจิต เราก็ไปนิพพานเลย แต่มันจะไม่มีนะซิ เราต้องการแบบไปแล้วไม่หลับ ถ้าวันไหนตั้งใจไปแล้วไม่กลับ วันนั้นไปไม่ได้ ไปได้ก็ถูกเขาไล่กลับมาทันที เพราะมีตัวอย่างมาเยอะแล้ว
ผู้ถาม             อย่างนี้ไม่ต้องกลัวตายนะครับ
หลวงพ่อ         ไอ้ตายน่ะไม่ต้องกลัว ตายแน่ ! ออกจากร่างได้ยังกลัวตายอีก ออกจากร่างน่ะไม่เป็นไรหรอก เอาเข้าร่างน่ะซิ อีตอนออกน่ะมันหนีขี้ไป อีตอนเข้ามาขนขี้มา แหม... มีการเข้าล่างเข้าบนด้วยนะ ไม่เป็นไรนะ ถ้าพูดถึงตามส่วนนะ กำลังใจเขาก็มี “ กายคตานุสสติ ” กับ อสุภกรรมฐาน ” ดีมาก ถ้าเขาไม่อีหลักอีเหลื่อ พอเขาเริ่มเบื่อหน่ายร่างกายใช่ไหม ว่าร่างกายนี้มันไม่ดี มันไม่เหมือนกับร่างกายที่เราออกไป ไอ้กระท่อมหลังนี้มันเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มีความเบื่อหน่ายอันนี้แหละดี ท่านถือว่าดีมาก

การตั้งใจไปนิพพาน
ผู้ถาม             การกำหนดจิตก่อนตายเพื่อไปพรหม ควรทำอย่างไรครับ ?
หลวงพ่อ         เออ...นี่ต้องไปลองซ้อมตายนะ ไปที่วัดจะเอายาสลบให้กิน ก่อนสลบก็ตั้งใจ ปัดโธ่! ไอ้หนู! ถามนี่มันเจ๊งแล้ว คือว่าการตั้งใจไปพรหม มันไม่ตั้งใจไปส่งเดช ฝึกอารมณ์มันให้ทรงตัว มันต้องมีทุนให้ทันพร้อม ถ้าเราได้ฌานไม่ต้องตั้งใจไปพรหมหรอก มันไปเองแหละ ก่อนจะตายก็เข้าฌาน มันไปพรหมเอง จะไปนิพพานก็ต้องได้ “ สังขารุเปกขาญาณ ” เป็นวิปัสสนาญาณตัวสุดท้าย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน จะไปนิพพานต้องเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่เป็นพระอรหันต์ไปนิพพานไม่ได้ พระอรหันต์เขาเป็นตอนไหน ตอนที่ตัด สักกายทิฏฐิ ได้เด็ดขาด การจะเป็นอรหันต์นี่ฝึกไม่มาก ฝึกข้อเดียวคือ สักกายทิฎฐิ
                   สักกายทิฏฐิ มันมี ๓ ตอน คือ
                   ๑. มีความรู้สึกว่า ชีวิตนี้ต้องตายไม่ประมาทในชีวิต นี่เป็น “ อารมณ์ของพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ” นะ
                   ๒. มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ร่างกายสกปกโสโครกน่าเกลียด ไม่มีตัญหาเกิดขึ้นจากร่างกาย อย่างนี้เป็น “ อารมณ์ของพระอนาคามี ”
                   ๓. ถ้าจิตวางเฉยในร่างกายทั้งหมด ร่างกาบของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี เราเฉยหมด อย่างนี้เป็น “ อารมณ์ของพระอรหันต์ ” ถ้าได้อารมณ์แบใดแบบหนึ่ง ถ้าวางเฉยได้ไปนิพพานได้ ถ้าวางเฉยไม่ได้ไปนิพพานไม่ได้
                   เรื่องพรหมเป็นของไม่ยากถ้าจิตทรงฌาน บางทีเขาไม่เคยทำกรรมฐานมาเลย เมื่อเวลาจะตาย เมื่อป่วยใหม่ ๆ จิตก็เกิดทรงญาน เพราะบุญเก่ามีอยู่ คำว่าทรงญาน ไม่ต้องไปนั่งขัดสมาธินะ แค่ตามองพระพุทธรูป จิตนึกถึงพระพุทธรูปด้วยความเคารพ และจิตจับที่นั่นโดยเฉพาะอย่างนี้เป็น “ พุทธานุสสติกรรมฐาน ” เป็นฌาน ตายแล้วเป็นพรหมทันที เป็นของไม่ยาก ยากไหม... ความจริงถ้าเข้าใจมันเป็นของไม่ยากนะ ถ้าอ่านตำรามากเกินไปอาจไม่เข้าใจ เพราะท่านเขียนเปะปะ

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หลวงตาหวังเทศน์ เล่าให้ฟังเรื่องของหลวงตาม้า

หลวงตาหวังเทศน์ เล่าให้ฟังเรื่องของหลวงตาม้า

เรื่อง....หลวงตาหวังเทศน์
                   ( ....พระคุณเจ้าคะ ! ฉันอยากจะทราบว่า เขาลือกันว่าคนที่ทำบาปนี่ เทวดาเขาจดลงในหนังหมา คนทำบุญนี่เทวดาจดไว้ในแผ่นทอง มันเป็นความจริงไหม ? ...)
                   เรื่องนี้ปรากฎขึ้นที่ วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วตัวโจ๊กจริง ๆ มีหลายท่านด้วยกัน เกือบทั้งวัด ไม่ใช่หมดวัดนะ เกือบทั้งวัดเพราะไม่ได้ร่วมกันทั้งวัด แต่ส่วนใหญ่จริง ๆ ร่วมมือกัน
                   เรื่องราวมันเป็นอย่างนี้ คือว่าตาแก่คนหนึ่งแกชื่อ "หวัง" แล้วก็หลังโกงเสียด้วยหลังโกงจริง ๆ แกเดินไปละก็หัวโก่งไปข้างหน้าหลังงอมาก แกแก่แล้ว แต่ว่าสติปัญญาดีเฉลี่ยวฉลาดพอสมควร มีการคล่องในการงานก็มาขอให้ หลวงพ่อปาน บวชให้ หลวงพ่อปาน เห็นว่าแกไม่รู้หนังสือ แต่ทว่าแกมีความเพียรดี มีความมานะอุตสาหะดี ท่านก็รับเข้ามาบวช บวชแล้วก็สอนธรรมวินัยแต่ละวัน
                   สำหรับหนังสือสวดมนต์ เขาเรียกว่า "ต่อหนังสือค่ำ" ให้ท่องจำไปทีละน้อย ๆ ตั้งพระไว้เป็นผู้สอนให้ รู้สึกว่าสติปัญญาดีพอสมควร หมายถึงว่าสอนอะไรไปแล้วไม่ต้องซ้ำ ท่านก็ท่องจำไป วันรุ่งขึ้นมาให้ว่าของเก่าก็ว่าได้แล้วก็ต่อให้ใหม่ตามสมควร
                   สมัยก่อนเขาเรียกว่า "ต่อหนังสือค่ำ" หมายความว่าเวลาเย็น ๆ ทำวัตรสวดมนต์แล้วก็ต่อหนังสือสวดมนต์ให้ ให้ท่องจำเลย ไม่ใช่ให้อ่าน อย่างนี้แกทำได้ดี แล้ว หลวงพ่อปาน ท่านก็สอนสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนาแบบย่อ ๆ แกก็ทำได้ดี จิตใจดีพอสมควร แกรู้ตัวว่าแกไม่รู้หนังสือแกเลยเกิดความไม่ประมาท
                   มาวันหนึ่ง เป็นพรรษาที่ ๒ สำหรับการบวชของแก การสวดมนต์ใน ๗ ตำนาน นี่จำเป็นจะต้องให้ได้หมด เรียกว่าได้คล่องดีแล้ว ก็เลยอยากจะเป็นนักเทศน์ขึ้นมาบ้าง แกก็ไม่ถามชาวบ้านชาวเมืองเขา มีพระอาวุโสท่านหนึ่ง อย่าออกชื่อเลย ท่านเป็นพระสนุก ๆ ใคร ๆ ก็รักท่าน พระองค์นี้อย่าออกชื่อท่านเลยนะ เพราะเรื่องนี้มันไม่ค่อยดีนัก ออกชื่อท่าน ท่านจะพลอยเสียหายไปด้วย
                   ไปถามพระองค์นั้นบอกว่า "เวลาเขาเทศน์ ๆ ยังไงขอรับ ?"
                   ท่านยิ้ม ๆ รู้แล้วว่า ตาหวัง นี่อยากเทศน์ ท่านก็บอกว่า
                   "ไม่เป็นไรหรอก ขึ้นไปเอาหนังสือขึ้นไปมันก็เทศน์ได้เองแหละ "
                   ตาหวัง ก็บอกว่า "ผมอ่านหนังสือไม่ออกนี่ขอรับ"
                   ท่านก็ตอบว่า "ไม่เป็นไรหรอก ธรรมาสน์มันมีอาถรรพณ์ คนอ่านหนังสือไม่ออก ขึ้นไปมันก็อ่านออกเอง"
                   ที่นี้แกคงจะไม่แน่ใจนัก แกก็มาถามอาตมาบ้าง ถามเพื่อน ๆ บ้าง ถามพระอีกหลายองค์ก็ถามเกือบหมดวัด เท่าที่แกจะถามได้ พวกที่ท่านไม่ต้องเกรงใจนัก เรียกว่าเป็นนักคลุกคลีตีโมงมาด้วยกัน บอกเหมือนกัน บอก
                   "โอ้โฮ้ ! เรื่องเทศน์นี่มันอัศจารรย์ขอรับหลวงน้าเห็นไหมล่ะ ว่าอยู่กุฎินี่ใครเขาเทศน์กันบ้าง ไม่มีใครเขาเทศน์กัน ไม่มีใครเขาว่าอะไรกันหรอก แต่เวลาขึ้นธรรมมาสน์ เห็นไหมเขาว่ากันเเจ้ว ๆ ไปได้จนจบ"
                   แกก็เชื่อ เพราะว่าตามปกติพระที่ขึ้นไปเทศน์เขาจะอ่านหนังสือ จะดูวรรคดูตอน เขาก็ดูกันในใจเงียบ ๆ ก็ไม่ได้ออกเสียง แกก็เลยไม่ได้ยินเสียง เป็นอันว่าแกก็คิดว่า พอขึ้นไปแล้วมันก็เทศน์ได้เอง นี่โดนต้ม ! แล้วก็โดนตุ๋น ! นี่คววามจริงไม่ใช่เจ้าลิงเท่านั้น นอกจากเจ้าลิงก็ร่วมกับเยอะแยะ
                   เมื่อเเกมั่นใจแล้ว แกก็บอกว่า "วันพระหน้าที่จะถึงนี้เป็นวันรักษาอุโบสถผมจะลงเทศน์ในกลางคืน"
                   พวกเราก็บอก "ดี ! ดีมาก ! โอ้โฮ้ ! การเทศน์นี่เป็นการให้ธรรมเป็นทานเชียวนะหลวงน้านะ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า


                   "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ" การให้ธรรมเป็นทานย่อมชนะทานทั้งปวง เพราะการให้ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นทานนี่แหละ คนเขาจึงได้ขึ้นสวรรค์ไปเป็นพรหมเข้าถึงพระนิพพานได้ ไอ้วัตถุทานนี่เมื่อเราให้แล้วก็แล้วกันไป กินอิ่มแล้วก็แล้วกันไป พอเลิกอิ่มมันก็หิว การให้ธรรมเป็นทานนี่มีอานิสงส์มาก เมื่อคนฟังเขามีอานิสงส์มาก เราผู้ให้ก็มีอานิสงส์มหาศาล"
                   แหม......แกยิ้มชอบใจใหญ่ แกก็เลยบอกว่า "ไหน ๆ ผมบวชทั้งทีแล้ว ผมก็จะทำให้มันครบ คือสงเคราะห์ตัวเองด้วย สงเคราะห์ญาติโยมพุทธบริษัทด้วย ไอ้การสงเคราะห์ตัวเองก็ได้แก่การทำวัตรสวดมนต์ เจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐานทำการงานของวัด นี่เป็นการสงเคราะห์ตนเอง สงเคราะห์ญาติโยมก็ได้แก่การเทศน์สองเป็นธรรมทาน"
                   แหม......พวกเราทั้งหมดก็ยกมือกันสลอนโมทนาสาธุ แกก็ปลื้มใจ ยิ่มแป้น ! พอถึงเวลาวันพระ ความจริงเวลานั้นที่ วัดบางนมโค เวลาถึงวันพระ คนมาถืออุโบสถถึง ๒๐๐ คนเศษ ๆ หากเป็นวันพระเข้าพรรษาออกพรรษา ก็ตกวันละ ๓๐๐ - ๔๐๐ คน คนรักษาอุโบสถมาก ถึงแม้จะเป็นตำบลเล็ก ๆ ก็ตาม แต่ว่า หลวงพ่อปาน ท่านปลูกศรัทธาคนได้ดีมาก เวลาวันพระเขาเทศน์ตอนเช้า ๑ กัณฑ์ ตอนบ่ายประมาณ ๓ กัณฑ์ นี่เป็นกัณฑ์ประจำ ญาติโยมพุทธบริษัทเขานิมนต์กันเอง เวลากลางคืน ถ้าไม่มีใครไปเทศน์ก็ต้องมีพระอาวุโสหรือพระผู้มีคุณวุฒิไปนั่งอธิบายธรรมะ คือไปคุยกับโยม ญาติโยมแกจะสงสัยอะไรก็ตอบให้ฟัง
                   บางที หลวงพ่อปาน ท่านก็ลงเอง ถ้าหลวงพ่อปาน ไม่ลง หลวงพ่อเล็ก ก็ลง หรือว่า สมภารเย็น ลง ใครว่างใครก็ลง ถ้าพระผู้ใหญ่ไม่ว่าง พระผู้น้อยก็ลง อาตมาเองก็เคยลงเหมือนกัน ลงไปแล้วโดนโยมยันเข้าให้ เรื่องภูมเทวดา ไอ้เรื่องเทศน์ของดไว้ก่อน
                   วันหนึ่งอาตมาลงไปเป็นพระอาจารย์ แหม...น่ากลัวจะเป็นจานกระเบื้องนะท่านผู้อ่าน ไม่ใช่จานกะละมัง ไอ้จานกะละมังขว้างเพล้งบางทีกะเทาะ แต่ไม่แตก ทีนี้ไอ้อานกระเบื้องนี่เขวี้ยงเปรี้ยง แตกพอดี ลงไปคุยกับญาติโยม คุยไปคุยกันมา มาตอนดึกจะกลับแล้วห้าทุ่ม โยมคนหนึ่งแกถามว่า
                   "พระคุณเจ้าคะ ! ฉันอยากจะทราบว่า เขาลือกันว่าคนที่ทำบาปนี่ เทวดาเขาจดลงในหนังหมา คนทำบุญนี่ เทวดาจดไว้ในแผ่นทอง มันเป็นความจริงไหม ? ”
                   อีตอนนี้ความจริงก็เคยได้ยินเขาพูดกันมาเหมือนกัน แต่ว่าการตอบเอาจริงเอาจังกับญาติโยมนี่มันตอบส่งเดชไม่ได้ มันต้องเป็นเรื่องจริงจัง ในเมื่อไม่แน่ใจก็เรียนให้ทราบว่า
                   "โยม ! เรื่องนี้ วันพรุ้งนี้อาตมาจะตอบให้ฟัง หรือวันพระหน้าอามาจะมาตอบให้ฟัง"
                   แล้วความจริงก็ตั้งใจไว้ว่าวันรุ่งเช้าจะถาม หลวงพ่อปาน ดู ว่าไอ้เรื่องนี้มันเป็นความจริงไม่จริงเพียงใด ครั้นกลับไปถึงกุฎิแล้วก็จุดธูปเทียนบูชาพระ ตั้งใจเจริญพรกรรมฐาน พอจุดธูปเทียนเสร็จ เริ่มนั่งเข้าสมาธิ พอนั่งหลับตาปุ๊บ มีมือส่งมาแค่ศอกยื่นมาข้างหน้าแขนสวยเหลือเกิน มีกระดาษห้อย แล้วมีเสียงพูด เสียงดังฟังชัดว่า
                   "นี่แหละขอรับ ! ที่เขาจดคนทำบุญทำบาป เขาใช้กระดาษทิพย์ เขาไม่ได้ใช้หนังหมาหรือว่าแผ่นทองคำ ถ้าจะใช้หนังหมาจดคนทำบาปละก็เทวดาไม่รู้จะไปฆ่าหมาที่ไหนมาพอ เพราะเมืองเทวดาไม่มีหมา ไอ้สัตว์เดรัจฉานนี่ มันมีแต่เฉพาะเมืองมนุษย์เท่านั้น ในเมืองเทวดาเมืองอบายภูมินี่มันไม่มีหรอกครับ มันมีอยู่แดนเดียว คือสัตว์ทั้งหมดที่ตายไปแล้ววิญญาณออกจากร่างก็มีร่างเป็นคน ไม่ใช่มีร่างเป็นสัตว์ อีกประการหนึ่ง ถ้าจะไปหาแผ่นทองคำมาจารึกมันก็ไม่ไหว สำหรับคนมีบุญ ก็ต้องใช้กระดาษทิพย์ ”
                   เป็นอันว่าคราวนั้นก็เลยได้ความรู้จากเทวดาแล้ววันหลังญาติโยมมาก็บอกให้ทราบว่า หลังจากกลับไปแล้วกลางคืนพอเริ่มบูชาพระทำสมาธิจิต มีแขนปรากฎ มีภาพหนังสือปรากฎ มีเสียงบอกตามนั้น ญาติโยมก็เข้าใจ
                   ทีนี้กลับมาคุยถึงเรื่อง หลวงตาหวัง จะลงเทศน์ พอญาติโยมทำวัตสวดมนต์ในเวลาหัวค่ำเสร็จ หลวงตาหวัง ก็ถือคัมภีร์รุ่มร่าม ๆ ลงมา มีความประสงค์จะไปเทศน์โปรดญาติโยมพุทธบริษัท ทีนี้ท่านหัวหน้าใหญ่เป็นพระอาวุโสหน่อย ไม่ขอออกชื่อ ตีระฆังให้สัญญาณบอกเวลานี้ หลวงตาหวัง ลงแล้ว ตามประเพณีเดิมของ วัดบางนมโค เมื่อพระผู้ใหญ่ลงเทศน์หรือพระผู้น้อยลงเทศน์ก็ตาม พระทั้งหมดควรจะไปฟังเทศน์ด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ญาติโยมพุทธบริษัทเอาเปรียบแต่ผู้เดียว คือรู้แต่ผู้เดียว ถ้าใครมีโอกาสก็ลงไปฟังเทศน์ด้วย นี่เป็นระเบียบ เพราะว่าไม่มีเกณฑ์บังคับ แต่ว่าถ้าเป็นระเบียบแล้วทุกคนพร้อมที่จะปฎิบัติ
                   ความจริง หลวงพ่อปาน ท่านมีบุญ ท่านพูดอะไรออกมาแล้ว คนก็ยอมรับฟัง ทำตามด้วยประการทั้งปวง ถือว่าคำปรารภของท่านเป็นคำสั่งอยู่เสมอ ลูกศิษย์ลูกหาของท่านจึงได้ดีมาก ไอ้ที่ระยำก็มีมากเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนได้ดีก็มักจะเป็นคนต่างถิ่น พวกที่เขามาจากต่างถิ่นนี่เขามาเอาดีกัน สำหรับคนในถิ่นก็ดีเหมือนกัน ส่วนใหญ่บวชแล้วก็สึก อยู่ไม่ค่อยนานนัก
                   แล้วก็เรื่องสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานของท่านนี่คนในตำบลไม่ค่อยจะเอาเพราะว่าเขาถือว่าเขาอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ เขาได้อาศัยครูบาอาจารย์ ถ้าเขาตายไปแล้ว ครูบาอาจารย์จะสงเคราะห์เขา เขาอาจจะคิดยังงั้นก็ได้ หรืออีกประการหนึ่งบางทีก็จะมีอาการชินเกินไป นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาปัจจุบันนี่ก็เหมือนกัน สำนักสมถวิปัสสนาที่ไหนก็ตาม คนใกล้ ๆ มักจะไม่ค่อยมองเห็นความสำคัญ คนที่เห็นความสำคัญมักจะเป็นคนที่มาจากแดนไกล
                   อย่างสำนักใหญ่ ๆ เช่น วัดปาดน้ำภาษีเจริญ สมัยที่ หลวงพ่อสด ยังอยู่ กว่าคนใกล้ ๆ จะรู้ว่าท่านดีนี่คนคนอื่นเขาเอาไปกินเสียนานแล้ว แล้วในระยะต้น ๆ ไม่มีคนบ้านใกล้สนับสนุน ดีไม่ดีเขาลือกันว่าสมัยที่ท่านไปอยู่ใหม่ ๆ เอาปืนไปยิงข้ามวัดเล่นเสียง่าย ๆ ยังงั้นแหละ วัดนั้นเต็มไปด้วยความโกรงเกรง ๆ ผุแล้วผุอีก จะพังแหล่มิพังแหล่ คนระยะใกล้ ๆ มาเห็นความดีของท่านต่อเมื่อพระมากขึ้นมา วัดมีความเจริญมากแล้ว แต่ก็เห็นความดีภายนอก ความดีภายในไม่ค่อยมีคนจะเอาไปใช้เหมือนกัน นี่เรื่องสมถภาวนา การเจริญพระกรรมฐานมันเป็นเรื่องของธรรมดาจริง ๆ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท คนใกล้นี่ใครเขาไม่ค่อยเอาด้วยหรอก มีแต่คนไกลเอาไป
                   สำหรับที่ วัดบางนมโค สมัยนั้นก็เหมือนกัน พวกเราเองมาจากที่อื่นเอาดีกันจริง ๆ พวกก็หาว่าบ้าไปเสียเลย ดีไม่ดีก็หาทางก่อกวน หาทางนินทาว่าร้าย เขานินทาข้างหลังไม่พอ เขานินทาข้างหน้า เขาหาว่าบ้า ๆ บอ ๆ ไอ้พวกเรามันก็บ้าจริงตามเขาว่านั้นแหละ เพราะเขานั่งลืมตา เรานั่งหลับตาเสียมันก็บ้า เขาสร้างความเลวกันเราไม่เลวตามเขา เรามันก็บ้า
                   รวมความว่า เราเข้าเมืองตาหลิ่ว เราไม่หลิ่วตาตามนี่มันก็บ้า นี่พูดให้ฟัง แล้วก็มานั่งคุยกันต่อไปถึงเรื่อง หลวงตาหวัง จะไปเทศน์
                   เมื่อ หลวงตาหวัง ท่านลงไปแล้ว ท่านอาจารย์ผู้ทรงวุฒิมีอาวุโส ไม่ใช่ หลวงพ่อปาน ไม่ใช่ หลวงพ่อเล็ก ไม่ใช่ ท่านสมภารเย็น แล้วก็ไม่ใช่ใคร ไม่บอกชื่อท่านพระอาวุโสผู้ใหญ่เวลานั้นมีหลายท่านด้วยกัน แต่ว่าองค์นี่ท่านสนุกสนาน ชอบเล่นกับพวกเด็ก ๆ ท่านมีอารมณ์ขำ เด็ก ๆ รักท่าน เมื่อตีระฆัง เราก็รู้สัญญาณว่าเวลานี้ หลวงตาหวัง ลงไปศาลาแล้ว พวกเราก็ห่มจีวรพาดสังฆาฎิ เดินลงไปเป็นแถว มีพระอาจารย์ใหญ่นำหน้าลงไปด้วย ไปนั่งฟัง หลวงตาหวัง เทศน์เต็มอาสนสงฆ์หมด
                   แหม.....ญาติโยมคืนนั้นรู้สึกมีธรรมปีติมาก เห็นพระลงมาฟังเทศน์ ได้เวลาแล้ว หลวงตาหวัง ก็ขึ้นธรรมาสน์ ตะเกียงก็สว่าง แกก็เปิดหนังสือออกอ่าน อ่านไปอ่านมา ดูไปดูมา ดูมาดูไป มันก็อ่านไม่ออก เพราะไอ้คนไม่เคยเรียนหนังสือมันจะอ่านออกได้ยังไง แต่ว่าคณะที่ลงไปนั้น คณะกลุ่มของ หลวงตาหวัง ทั้งนั้น ที่ลงไปนั่งเป็นแถวน่ะ พระที่ท่านไม่ได้ตุ๋นด้วยท่านไม่ได้ลงไป แกทำท่าอ่านไม่ออก ญาติโยมพุทธบริษัทที่มาก็รู้ทั้งหมดว่า หลวงตาหวัง นี่น่ะ ตั้งแต่เป็นฆราวาสไม่เคยเรียนหนังสือมาเลย แล้วท่านจะมานั่งเทศน์ได้ยังไง มาอ่านพลิกหน้าพลิกหลัง พลิกหลังพลิกหน้า พลิกไปพลิกมามันก็อ่านไม่ออก
                   ญาติโยมก็ชักเริ่มแล้ว เริ่มก้มหน้า ไม่ใช่ร้องไห้ ก้มหน้าหัวเราะ ยิ้มกันไปยิ้มกันมา เอาผ้าอุดปาก พวกเราก็ชักงอไปงอมา แต่ไม่กล้าส่งเสียง
                   ทีนี้ หลวงตาหวัง แกดูยังไงแกก็อ่านไม่ออก แกบอก "โยม ! เดี๋ยว ! อ่านไม่ออกแฮะ "
                   ตอนนี้ฮาตึงแล้ว
                   "โยม ! เดี๋ยว ๆ ลองไปอ่านที่หัวอาสนสงฆ์ บางทีมันจะอ่านออกบ้าง"
                   มาที่หัวอาสนสงฆ์ นั้งข้างหน้าเพื่อน อ่านเท่าไรมันก็อ่านไม่ออก ทีนี้ท่านหัวหน้าบอกว่า
                   "นี่กราบพระพุทธเสียก่อนซี กราบพระพุทธช่วย (โธ่ ! อยู่ ๆ แกมาถึงเขานิมนต์ขึ้นธรรมาสน์ก็ขึ้นไปเลย) เห็นไหมเล่า คนที่ขึ้นไปเทศน์เขาต้องกราบพระพุทธเสียก่อน พระพุทธท่านช่วยอ่านเองแหละ”
                   ยังไปสอนเขาที่ศาลาอีก หลวงตาหวัง ก็เอา กราบ ๆ พระพุทธ ขึ้นไปนั่งบนธรรมาสน์เปิดหนังสืออ่านเท่าไร อ่านไปอ่านมา อ่านยังไงมันก็ไม่ออก แกก็โมโห คิดว่าพวกเราต้มแล้วซิ มองหน้าพวกเราเป็นแถวตั้งแต่ต้นจนปลาย ไอ้พวกนี้เป็นที่ปรึกษาแนะนำให้ขึ้นมาเทศน์ แกก็เลยเทศน์ฉบับพิเศษ เสียงดังลั่นว่า
                   "ไอ้.........แม่ ! โครตแม่มึงแกล้งกูนี่หว่า บอกว่าขึ้นธรรมาสน์แล้วจะอ่านออก นี่มันอ่านไม่ออก ไอ้....แม่ ! แกล้งกู"
                   พวกเราก็ฮาตึง ชอบใจ เรียกว่าหายปวดท้อง บรรดาญติโยมทั้งหลายก็ฮาตึงไปตาม ๆ กัน เป็นการครื้นเครงแทนที่จะโกรธ แกลงมาที่หน้าอาสนสงฆ์แกยังด่าอีก แล้วแกก็เดินกลับชี้หน้าไปทุกคนด่าหมด พวกเราก็ยิ้มชอบใจแทนที่จะโกรธ จะโกรธทำไม แผนการของเรามันสำเร็จผลนี่ เพราะอะไร เพราะแกอยากทรชน คือเทศน์ไม่เป็นแล้วก็อยากจะเทศน์ ก็เลยดัดสันดานเสียด้วยวิธีนั้น
                   แต่ปรากฏว่าพอรุ่งขึ้นเช้า หลวงพ่อปาน สั่งตีระฆังประชุม พูดถึงเรื่อง หลวงตาหวัง ลงมาเทศน์ ท่านบอกว่า
                   "มันเป็นการไม่สมควร การทำแบบนั้นทำให้พระเสียกำลังใจ ทำให้ญาติโยมพุทธบริษัทเสียกำลังใจ"
                   พูดไปพูดมาก็บอก "มันไม่มีใครหรอกวะ ไอ้ที่มายุ หลวงตาหวัง ขึ้นธรรมาสน์น่ะ"
                   ชี้ดะไปเลย ชี้มาตรงหน้าแป๊ะทุกรายเลย ถามว่า “ จริงไหม ?"
                   ทุกองค์ก็พนมมือบอกว่า "ขอรับ"
                   ถามว่า "ทำไมจึงทำยังงั้น ?"
                   คนอื่นเขาก็เงียบเสียง เจ้าลิงดำพูดตัวเดียวบอกว่า "หลวงตาหวัง แกไม่เจียมตัวขอรับ แกรู้แล้วว่าแกอ่านหนังสือไม่ออก ก็ยังจะไปเทศน์ ถ้าจะไปห้ามแกก็จะหาว่ากันลาภสักการะของแก กันความดีของแก ถ้าไม่สอนด้วยวิธีนี้ละก็แกจะยับยั้งตัวเองได้ยังไง ?"
                   หลวงพ่อปาน ก็ยิ้มละไม บอก "เออ.....ดี ! ดีแล้ว รู้จักการฝึกพระให้รู้จักประมาณตนของตนเอง"
                   ท่านก็เลยหันไปหา หลวงตาหวัง บอก "หลวงตาหวัง ทีหลังจำไว้นะ สิ่งใดถ้ามันเกินวิสัยของเรา เราอย่าไปทำมันเข้า ไอ้ที่เขาทำแบบนี้น่ะ เขาไม่ได้แกล้งเรานะ เขาสอนเรา ฟังได้ยินไหมล่ะ เขาบอกว่าถ้าเตือนแบบธรรมดา ๆ ก็เกรงว่าคุณน่ะจะไม่รับฟังเขา คุณจะหาว่าเขากลั่นเขาเเกล้งกัดกันลาภสักการะกันความดี นี่เขาสั่งสอนคุณ จำไว้นะ ทีหลังจงอย่าทะเยอทะยานอย่างนี้อีก"
                   นิทานเรื่องนี้ก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ เพราะมันจบ ไม่รู้จะพูดอะไร สวัสดี *
                   (เพราะการให้ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นทานนี่แหละ คนเขาจึงได้ขึ้นสวรรค์ไปเป็นพรหม เข้าถึงพระนิพพานได้ ไอ้วัตถุทานนี่เมื่อเราให้แล้วก็แล้วกันไป กินอิ่มแล้วก็แล้วกันไป พอเลิกอิ่มมันก็หิว การให้ธรรมเป็นทานนี่มีอานิสงส์มาก เมื่อคนฟังเขามีอานิสงส์มาก เราผู้ให้ก็มีอานิสงส์มหาศาล)

พิมพ์โดยคุณโกกนุท

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประวัติ หลวงตาม้า

ประวัติพระอาจารย์ วรงคต วิริยะธโร ( หลวงตาม้า )
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
 ด้วยความเคารพ และ ศรัทธา ขอเชิดชูคุณงามความดีแด่ครูบาอาจารย์เจ้า ดังนี้

ชาติภูมิ หลวงตาม้า
พระอาจารย์วรงคต วิริยะธโร มีชาติกำเนิดในสกุล สุวรรณคุณ เดิมชื่อ นายวรงคต สุวรรณคูณเกิดเมื่อวันที่ 23 พ
ฤศจิกายน พ.ศ. 2487 บ้านเดิมอยู่ที่ อำเภอนรนิวาส จังหวัด สกลนคร โยมบิดาชื่อ นายวันดี โยมมารดาชื่อนาง โสภา ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 3 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 2 ของครอบครัว

สู่เพศพรหมจันทร์ หลวงตาม้า
หลวงตาม้าท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่และท่านได้อยู่ฝึกกรรมฐานกับหลวงปู่ดู่ในเพศฆราวาสเป็นเวลาเกือบ 20 ปีแต่ก่อนที่หลวงปู่ดู่ท่านจะมรณภาพไปไม่นานนั้นหลวงปู่ท่านก็ได้สั่งให้หลวงตาม้าท่านบวช
ท่านได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 เวลา 10.06 น. ตรงกับวันอาทิตย์ ณ วัดพุทไธสวรรค์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีพระครูภัทรกิจ (หลวงพ่อหวล) และเจ้าอาวาสวัดพุทไธสวรรค์ เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระครูสุนทรธรรมนิเทศ (บุญส่ง) เป็นพระกรรมาจารย์ และมีพระครูพิจิตรกิจจาทร (เสน่ห์) เป็นพระอนุศาสนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ?วรงคต วิริยะธโร?

บำเพ็ญสมณธรรม หลวงตาม้า
พอออกพรรษาแรกท่านได้ไปกราบหลวงพ่อหวลเพื่อขออนุญาติออกธุดงค์ เมื่อหลวงพ่อหวลอนุญาติแล้ว ท่านก็ไปกราบหลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก คืนนั้นไม่มีใครอยู่เลยที่กุฎิหลวงปู่ดู่ มีเพียงหลวงปู่และหลวงตาเท่านั้น ท่านเลยกราบลาหลวงปู่ดู่คืนนั้น หลวงปู่ดู่ท่านได้เทศสอนหลวงตาและบอกกับหลวงตาม้าในครั้งนั้นด้วยว่า
"จำไว้ไม่ว่าแกไปไหนเหรออยู่ที่ไหนข้าก็อยู่ด้วย
แกเอาพระองค์นี้ไป(พระรูปหล่อเหมือนหลวงปู่ดู่)หากเองสงสัย
อะไรในการปฎิบัติให้แกถามเอากับพระองค์นี้"
หลวงปู่ดู่ท่านให้พระปูนรูปเหมือนหลวงปู่ดู่ 1 องค์ หลวงปู่ดู่ท่านยังเมตตาให้เงินติดตัวท่านมาอีก 500 บาท พร้อมทั้งของใช้สำหรับสงฆ์ พร้อมกับสั่งให้ท่านขึ้นไปอยู่ที่ภาคเหนือเพราะเหตุผลบางอย่าง พอตอนเช้าหลวงปู่ดู่ท่านได้ให้พระในวัดสะแก นำปิ่นโตข้าวมาให้หลวงตาเพราะทราบว่าท่านไม่ได้ออกบิณฑบาตร เพราะเตรียมธุดงค์ขึ้นเหนือ
หลวงตาม้าท่านได้ธุดงค์รอนแรมอยู่เป็นเวลานานตามภาคเหนือของประเทศไทยตั้งแต่เมื่อประมาณเกือบ 20 กว่าปีก่อนท่านได้ธุดงค์แวะภาวนาตามถ้ำต่างๆเรื่อยไปในส่วนเรื่องราวการธุดงค์ของท่านหลวงตาม้านี้สนุกและพิศดารมาก อยู่มาวันหนึงท่านได้มาพักอยู่ที่พระธาตุจอมแจ้ง หรือพระธาตุจอมกิตติ พอท่านมาถึงท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานกลางแจ้งเลยว่า ท่านอยากจะหาสถานที่ที่สงบท่านต้องการจะเก็บตัวสัก พอเช้าวันรุ่งขึ้นมีผู้เฒ่าชราผู้หนึงมาบอกท่านว่าที่เมืองนะ มีถ้ำน่าอยู่แห่งหนึง ท่านบอกว่าถ้าไม่เจอะผู้เฒ่าผู้นี้ท่านคงไปอยู่ที่พระบาท 4รอยแทน ท่านได้ธุดงค์ไปเรื่อยตามญาณหลวงปู่ดู่ไปจนเจอเข้า กับถ้ำแห่งหนึงซึ่งชาวบ้านแถวนั้นเรียกว่าถ้ำเมืองนะซึ่งตรงกับที่ผู้เฒ่าผู้นั้นมาบอก พอท่านถึงถ้ำเมืองนะแล้วท่านจึงได้บำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้ และได้ส่งข่าวมาทางหลวงปู่ดู่
เวลาผ่านไปจนเข้าปี 2533 หลวงตาม้าท่านได้ทราบว่าหลวงปู่ดู่ท่านได้ละสังขารแล้วท่านจึงได้เดินทางกลับไปยังจังหวัดอยุธยา หลังจากงานพระราชทานเพลิงศพของหลวงพ่อดู่ ได้ผ่านไปเรียบร้อยแล้วหลวงตาท่านก็ได้เดินทางกลับไปยังถ้ำเมืองนะ
ท่านได้อยู่ภาวนาอย่างเงียบๆในถ้ำนั้นเป็นเวลานับ 10 ปีโดยมีชาวบ้านในละแวกนั้นซึ่งเป็นชาวไทยและชาวไทยใหญ่คอยอุปัฐฐากท่านตลอดมาหลวงตาม้าท่านเมตตามากการปฎิบัติของท่านในตอนแรกเป็นไปเพื่อหลุดพ้นในชาตินี้แต่หลังจากที่ท่านภาวนาไปท่านได้รับกระแสพุทธภูมิเก่าของท่านเข้าที่จิตจนทำให้ท่านเกิดความเมตตาสงสารและอฐิษฐานจิตต่อเพื่อฉุดช่วยให้สัตว์ทั้งหลายทั่วทั้ง 3 โลกธาตุมีที่พึ่งมีร่มโพธิ์ร่มไทรนับว่าเป็นเมตตาอันนับประมาณมิได้ของท่านจนถึงวันหนึ่งท่านก็ได้เริ่มออกสังคมและเริ่มสร้างวัดขึ้นที่นั้นและสั่งสอนลูกศิษย์เรื่อยมาจนถึงบัดนี้ ปฎิปทาของท่านหลวงตาเป็นการบำเพ็ญแนวโพธิสัตว์และลูกศิษย์หลายๆคนได้ประจักษ์ถึงบารมีท่านในด้านพุทธภูมิมาแล้วทั้งนั้น นับว่าท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีญาณบารมีแก่กล้าและเมตตาอันล้นเหลือ มากรูปหนึ่งในปัจจุบันที่สั่งสอนคนให้เดินบนเส้นทางแห่งธรรมะ และท่านยังเป็นผู้ที่สืบทอดวิชาต่างๆของหลวงปู่ดู่ในปัจจุบันอีกด้วย ทั้งด้านการภาวนาเปิดโลก และ ด้านการสร้างพระเครื่อง ซึ่งท่านได้เมตตาสั่งสอนถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์ในปัจจุบัน เพื่อนำไปช่วย มนุษย์และภูมิทั้งหลาย ตลอดถึงความสงบแก่จิตและการอยู่เย็นเป็นสุขของผู้ปฎิบัติ

 หลวงตาม้า (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่